“สินิตย์”เผยยอดขายเฟอร์นิเจอร์ช่วง WFH คึกคัก 7 เดือนส่งออกทะลุ 2.9 หมื่นล้าน แนะผู้ประกอบการขยายตลาดใน-นอกประเทศ
นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ธุรกิจขายปลีก-ขายส่งเฟอร์นิเจอร์ เติบโตในช่วงของการใช้มาตรการ WFH ปัจจุบันมีธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน 4,163 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงถึง 24,434.72 ล้านบาท และช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) มีการจัดตั้งธุรกิจจำนวน 210 ราย โดยเดือนส.ค.ที่ผ่านมามีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจ 29 ราย เพิ่มขึ้น 4 รายจากเดือนก.ค.คิดเป็น 16%
แม้ว่าตัวเลขการเพิ่มขึ้นอาจจะดูไม่พุ่งสูงแบบก้าวกระโดด แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่ามีทิศทางการเติบโตที่ต่อเนื่อง และยังมีช่องว่างให้ผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์หน้าใหม่เข้ามาลงแข่งขันกันได้ในจำนวนคู่แข่งที่ไม่มากนัก เป็นโอกาสทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้หากแบ่งประเภทการจัดตั้งในรูปแบบบริษัทจํากัดมีจํานวน 3,246 ราย คิดเป็น 77.97% แบ่งมูลค่าทุนเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1 ล้านบาท จํานวน 2,522 ราย ทุนจดทะเบียน 1.01-5.00 ล้านบาท จํานวน 1,323 ราย ทุนจดทะเบียน 5.01-100 ล้านบาท จํานวน 293 ราย และมากกว่า 100 ล้านบาท จํานวน 25 ราย จากจำนวนนี้คิดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) มากที่สุด จํานวน 3,943 ราย คิดเป็น 94.72% ธุรกิจขนาดกลาง (M) จํานวน 183 รายคิดเป็น 4.40% และธุรกิจขนาดใหญ่ (L) จํานวน 37 ราย คิดเป็น 0.89%
สำหรับปริมาณการสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากประเทศไทยยังคงมีความต้องการจากผู้บริโภคชาวต่างชาติ เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 มีมูลค่าการส่งออก 37,886.08 ล้านบาท ปี 2562 มีมูลค่าการส่งออก 39,430.39 ล้านบาท ปี 2563 มีมูลค่าการส่งออก 44,504.06 ล้านบาท และปี 2564 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 29,448.51 ล้านบาท
นอกจากนี้การพัฒนาของธุรกิจ e-Commerce โดยสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านบนโลกการค้าออนไลน์เป็นหมวดหมู่ที่มาแรงและมีมูลค่าเป็นอันดับที่ 4 รองจาก ธุรกิจห้างสรรพสินค้า เครื่องสำอางและอาหารเสริม และแฟชั่นเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ ตามลำดับ
สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ลดการเดินทางออกจากบ้าน และยังสามารถเลือกสินค้าได้หลากหลาย สามารถเปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นจากร้านค้าต่างๆ ได้ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องเดินทางไปด้วยตนเอง
ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกเพราะไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ต้องใช้มาตรการ WFH แต่ยังเป็นมาตรการที่ธุรกิจทั่วโลกนำไปใช้เพื่อให้พนักงานขององค์กรทำงานอยู่ที่บ้าน และอาจจะกลายเป็นแนวโน้มการทำงานรูปแบบใหม่อย่างถาวรในอนาคต
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์, www.tnnthailand.com
ภาพประกอบ : พิกซาเบย์